Archive for อื่นๆ ไม่เข้าพวก

โปรแกรมเมอร์? สิ่งที่คนนอกวงการไม่รู้

นานๆ ทีได้มาเขียนบทความซักที ฮ่าๆ วันนี้จะมาในเรื่อง “โปรแกรมเมอร์? สิ่งที่คนนอกวงการไม่รู้”

เกริ่นๆ กันซักนิดนึง คุณคิดว่าโปรแกรมเมอร์คือใคร? พ่อมดที่บัลดาลโปรแกรมทุกอย่างในคอมได้ใช่มั้ย? เกือบถูกครับ เขาสามารถเขียนโปรแกรม (เกือบ) ทุกอย่างได้บนคอมจริงๆ แต่ไม่ใช่จะได้มาง่ายๆ นะครับ ทุกอย่าง สิ่งที่เสียไปก็คึือ เวลา ครับ จริงมั้ย การเขียนโปรแกรม การทำโปรแกรมคอมพิวเตอร์อะไรซักอย่างนึง คุณ (ถ้าคุณไม่ได้ทำงานเกี่ยวกับ IT เลยนะ) จะเห็นว่ามันเป็นสิ่งง่ายๆ แต่ความจริงแล้วมันไม่ง่ายอย่างที่คิดครับ เอาล่ะ สิ่งที่คุณไม่รู้เกี่ยวกับโปรแกรมเมอร์ (อ้างอิงตามผมคิดละกัน) มันมีอะไรบ้าง

1.โปรแกรมไม่ได้คลิกๆ แล้วออกมาเป็นรูปร่าง
2.การเขียนโปรแกรม 1 โปรแกรม มีขั้นตอนมากมาย เริ่มตั้งแต่การออกแบบโปรแกรมใส่กระดาษ (เดี๋ยวนี้คงไม่ใส่กระดาษกันแล้วมั้ง) ออกแบบ Flow ระบบ ออกแบบหน้าตาโปรแกรม เขียนโค๊ด ทดสอบ ถ้ามีับั๊ก ก็แก้ แล้วก็ปล่อยโหลด
3.บางครั้ง การเขียนโปรแกรม ไม่ได้มีคนเขียนคนเดียว
4.โปรแกรมเมอร์ ทำงานดึก ตื่นสาย

ฯลฯ คร่าวๆ แค่นี้ก่อน เพราะประสบการณ์ผมแต่ก่อน กว่า Audition Agent Release แรกจะออกมาได้ ก็ล่อไปเดือนครึ่ง ไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันทั้งเดือน = =

รวมตารางสิ่งที่ (อาจ) จะต้องทำ

เอาหละ เดวคนคิดว่าหาย มาอัพบล๊อกกันบ้าง หลังจากโดนลากไปเล่นสงกรานซะจนแฟนงอนตุ๊บป่องไปพักใหญ่ๆ เสร็จแล้วก็มีสิ่งที่ต้องทำเยอะแยะเลย (แต่พยายามแล้วไม่เสร็จซักที) เอาล่ะ สิ่งที่ผมต้องทำมีอะไรบ้าง

– ย้ายเครือข่ายเบอร์ 085 ไป TrueH (CC บอกว่าย้ายได้ ไปจริงๆ เสือกย้ายไม่ได้ กำลังเคลียร์)
– อัพเกรด Firmware มือถือ (ไปวันนั้นช่างไม่อยู่ เดวไปอีกรอบ)
– เพิ่งมาถึง ซื้อ Index ภาคสอง แผ่นสอง
http://www.boomerangshop.com/web/productdetail.aspx?pid=853535

มารายงานตัวแค่นี้ไปละแว๊บ

จิตวิทยาความเชื่อมั่น (Trust)

วันนี้อาจยาวหน่อย เลยไม่ได้โพสลงเฟสนะ เรามาอธิบายเรื่องจิตวิทยาความเชื่อมั่น (Trust) กันครับ

ทุกๆ วัน เราอาจพบเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติในชีิวิตประจำวันอยู่แล้วโดยที่เราไม่รู้ตัว ซึ่งจิตวิทยาที่ว่านี้ เกี่ยวเนื่องกับการโกหกในชีวิตประจำวันของเราด้วยละครับ เอาล่ะ จิตวิทยานี้คืออะไร? ผมขออธิบายเลยละกัน

ความเชื่อมั่น ก็คือ……. จะอธิบายไงดีวะ (ทำหน้า faceplam) เอาง่ายๆ นั่นก็คือสิ่งที่เราเชื่อมั่นว่ามันจะเป็นจริง นั่นแหละ (ขวานผ่าซากไปมั้ย?) ยกตัวอย่างจิตวิทยานี้ในชีวิตประจำวันง่ายๆ นะครับ ก็คือ คำพูดของคนที่เราไว้ใจ , คนรู้จัก , คนที่มีตำแหน่งใหญ่ (เช่นหัวหน้า) ตามหลักแล้ว เราจะเชื่อที่เขาพูดโดยไม่มีเหตุผลอะไรเลย (ถึงแม้จะไม่เป็นความจริงก็ตาม) ในทางกลับกัน หากเป็นคนที่เราไม่รู้จัก , คนที่เราเกลียด เราก็พร้อมจะไม่เชื่อคำพูดของเขา โดยไม่มีเหตุผลเช่นกัน (ถึงแม้เขาจะพูดความจริง) แต่จะว่าไป มันก็คล้ายๆ กับเด็กเลี้ยงแกะนั่นแหละ ยกอีกตัวอย่างนึงละกัน เคยเล่นเกม ลุก นั่ง มั้ยครับ? (อธิบายเพิ่ม ก็คือ เขาสั่งให้นั่ง ก็นั่ง เขาสั่งให้ยืน ก็ยืน) ซึ่งเมื่อเราสั่ง นั่ง นั่ง นั่ง แล้วอยู่ๆ สั่งยืนขึ้นมา จะมีแค่บางคนที่ยืนขึ้น ที่เหลือก็จะงงๆ ว่าเขาสั่งยืนแล้ว เกี่ยวข้องกันแบบนี้แหละ

ความจริงแล้ว อันนี้เป็นกลไกอย่างหนึ่งของสมองเรานั่นแหละ ซึ่งกลไกนี้จะช่วยปกป้องตัวเราทางสังคม (ในทางกลับกัน มันก็ทำร้ายเราได้) มันเป็นดาบ 2 คม ถ้าคนใช้จิตวิทยาตัวนี้ในการชักนำคนเป็นครับ ซึ่งสมองของคนเรา จะใช้ประสบการณ์ที่เคยมีมาก่อนหน้า เป็นตัวระบุเหตุการณ์ในอนาคต (แบบที่สั่ง นั่ง นั่ง นั่ง แล้วยืน แล้วบางทีเราลืมยืน นั่นแหละ) เพราะสมองเราคิดว่า มันต้องเป็นแบบนี้แน่ๆ จึงไม่ต้องเสียเวลาคิดมากนัก เชื่อตามเหตุการณ์ก่อนหน้าไปเลยง่ายกว่า

เพราะฉะนั้น จะเชื่อใคร ไม่เชื่อใคร มีเหตุผลนิดนึงนะครับ 🙂

วันเข้าค่ายของเด็กคนนึง (ต่อ 2)

หลังพวกเพื่อนๆ ผมต่อล้อต่อเถียงกับพวกกลุ่มผู้หญิงอยู่พักใหญ่ อาจารย์ก็ประกาศผ่านโทรโข่งว่า ถึงเวลาแจกข้าวเช้าแล้ว ให้นักศึกษาทุกคนไปรับอาหารเช้าด้วย ผมหันไปมอง เป็นถุงข้าวกล่องขนาดใหญ่พอสมควร ผมกับเพื่อนๆ ที่ตั้งวงเล่นนกโกรธกันอยู่ จึงลุกขึ้นไปเอาข้าวกล่องมากิน ผมเดินไปต่อแถวกับพวกคนที่ไปเข้าค่ายด้วยกัน รออยู่ซักพักจึงถึงคิวผม ผมรับข้าวกล่องกับช้อนพลาสติกมา และเดินไปที่โต๊ะหินอ่อนเพื่อนั่งกิน ผมเปิดกล่องออกมา เป็นข้าวผัดอเมริกัน ใส่น่องไก่ 1 ชิ้น กับแฮมกลมๆ 1 อัน แล้วก็ซองซอสมะเขือเทส ผมได้กลิ่นก็จำได้ทันที มันเป็นของร้านข้าวโรงอาหารหลังของมหาลัยผม ถึงผมไม่ค่อยได้ไปกินเพราะโรงอาหารหลังค่อนข้างร้อนก็เถอะ แต่มันก็อร่อยเหมือนกัน ผมนั่งกินอยู่ประมาณ 5 นาที ผมมองนาฬิกาข้อมือของผม ขณะนี้เป็นเวลา 6 โมงครึ่งแล้ว รถออก 7 โมงเช้าสินะ หลังผมกินข้าวจนหมดกล่อง ผมจึงหยิบน่องไก่มาแทะ และหยิบแฮมมากินจนหมด จากนั้น ผมเห็นว่าเพื่อนข้างๆ ไม่ยอมกินแฮมซักที (สงสัยเก็บไว้กินทีหลัง) ผมเลยแอบจิ๊กมาครึ่งนึง ฮ่าๆ พอผมกินหมด ผมจึงปิดกล่อง และนำมันไปทิ้งที่ถังขยะใกล้ๆ

ผมนั่งอ่านข่าวประจำวันบนมือถือไปเรื่อยๆ โชคดีที่มหาลัยเปิด Wifi Router ตลอด 24 ชั่วโมง และสัญญาณก็ดันวิ่งมาถึงบริเวณหน้าตึกที่พวกผมนั่งรอรถกันอยู่ ถึงสัญญาณจะมีแค่ 2 ขีดก็เถอะ แต่มันก็เร็วพออยู่แล้ว หลังจากอ่านข่าวอาชญากรรม และการเมืองเพลินไปนิด จึงถึงเวลาเรียกขึ้นรถ ซึ่งห้องผมนั่งคันที่ 3 ผมจึงรีบหยิบสัมภาระของผม และวางไปในช่องเก็บของข้างๆ รถบัส และเดินขึ้นไปบนรถ ทั้งสองฝั่งนั้นเป็นที่นั่งคู่ ผมเดินขึ้นมาบนรถบัส และเข้าไปนั่งแถวที่ 2 อย่างไม่ลังเล เพราะปกติผมจะนั่งแถวนี้ เวลาเดินลงรถจะเดินออกง่ายกว่า และเพื่อนผมคนนง ผมเรียกมันว่าเจ้าบอส ก็มานั่งลงที่ข้างๆ ผม ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรเขา เพราะในห้อง เจ้าบอสนี่คุยสนุกสุดแล้ว อย่างน้อยๆ ระหว่างการเดินทางก็คงไม่เงียบเหงาซักเท่าใหร่ ผมสังเกตุว่า เจ้าบอสหยิบขนมออกมาถุงถึง และชวนผมว่า กินด้วยกันมั้ย ผมก็โอเค เพราะไม่ได้ซื้ออะไรติดมือมาเหมือนกัน ผมมองไปข้างหลัง เห็นเพื่อนๆ พวกผู้หญิงที่นั่งแถวหลัง กำลังเล่นอะไรกันก็ไม่รู้ และผมได้ยินเสียงไม่ชัด แต่สังเกตุว่า ที่แขวนข้างๆ ของพวกเธอ มีแต่พวกขนมที่กินแล้วอ้วนทั้งนั้นเลย ไม่รู้พวกเธอกินเข้าไปได้ยังไง ผมหันกลับมานั่งต่อ แล้วเอามือรองไว้ทีื่หัว จากนั้นก็พิงที่พิงไป

หลังจากพวกอาจารย์แน่ใจว่าพวกนักศึกษาขึ้นรถกันหมดแล้ว ซักพักนึง รถที่สตาร์ทรอไว้แล้ว จึงเริ่มออกเดินทางตามๆ กันไปทันที ผมมองวิวข้างทางในเวลาเกือบๆ 7 โมงของวันเสาร์ มองผ่านสนามหญ้าของมหาลัย ซักพักนึง รถแล่นมาถึงทางออกมหาลัย และออกสู่ถนนใหญ่ แต่กลับใช้ความเร็วไม่ค่อยได้มากนัก เพราะในตัวเมืองกรุงรถค่อนข้างเยอะ ผมสังเกตุเห็นเพื่อนเริ่มหยิบโทรศัพท์มือถือมาเล่น ส่วนผมซึ่งไม่ได้อะไรมากอยู่แล้ว จึงนั่งพิงมองวิวข้างทางไป พลางหยิบขนมของเจ้าบอสที่วางไว้ข้างๆ มากินเล่น

วันเข้าค่ายของเด็กคนนึง (ต่อ)

เวลาตี 5 ครึ่ง ผมหลับค่อนข้างไม่สนิท หลับไปตื่นไป คงไม่ใช่เพราะตื่นเต้นที่จะได้ไปเข้าค่ายหรอก ก็ยุงในห้องมันเยอะเหลือทน เมื่อตื่นขึ้นมา สิ่งแรกที่ผมทำคือไปอาบน้ำซะ และเปลี่ยนเป็นชุดนักศึกษา ทั้งๆ ที่วันนี้วันเสาร์แท้ๆ พับแผ่สิ ผมมองกระเป๋าสัมภาระผมสำหรับค้าง 3 วัน 2 คืน ที่ผมนั่งแพ๊กไว้ตั้งแต่เมื่อคืน และตรวจสอบมันอีกรอบเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ลืมอะไรไป เมื่อตรวจจนแน่ใจแล้ว ผมหยิบมือถือของผมขึ้นมาเพื่อเชคอีเมล เนื่องจากไม่ค่อยอยากเสียเวลาเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ซักเท่าใหร่ อีเมลหนึ่งฉบับเพื่อแจ้งโปรโมชั่นสินค้าโผล่ขึ้นมาที่หน้าจออย่างรวดเร็ว และเสียงการแจ้งเตือนว่ามี Facebook Comment โผล่มาทันทีที่ผมต่ออินเตอร์เน็ตในโทรศัพท์ เวลาเช้าๆ แบบนี้ เน็ตมือถือก็ไวเหมือนกันแฮะ ผมนั่งเล่น และคอมเม้นแซวเพื่อนอยู่ซักพัก จึงกดล๊อก แล้วใส่โทรศัพท์ไว้ในกระเป๋ากางเกง จากนั้นผมก็แบกสัมภาระที่แสนจะหนักอึ้งออกประตูบ้านไป

ผมมาถึงป้ายรถเมล์ ที่เวลาเช้ามืดไม่ค่อยมีคนมากนัก ผมนั่งรออยู่ประมาณ 10 นาที รถเมล์สายที่ผมต้องการจึงวิ่งผ่านมา ผมเดินขึ้นไป และสังเกตุว่า บนรถไม่ค่อยมีคนมากนัก คงเพราะวันนี้วันหยุดละมั้ง ผมจ่ายตังให้กับกระเป๋ารถเมล์เสร็จ แล้วนั่งมองข้างทางตลอดเวลา เวลาเช้าๆ แบบนี้รู้สึกรถไม่ค่อยติด รถเมล์วิ่งไปเรื่อยๆ โดยหยุดพักตามป้ายบ้าง คิดแล้วก็บรรยากาศตอนเช้ามืดนี่ก็ดีไปอีกแบบ เพราะปกติผมตื่นขึ้นมาเพื่อไปมหาลัย ก็จะช่วงเวลาประมาณ 7 โมงพอดี ทำให้รถค่อนข้างเริ่มจะติดแล้ว สำหรับนักเรียนมัธยม คงถึงโรงเรียนสายอย่างแน่นอน แต่สำหรับผม 7 โมงยังเร็วไปด้วยซ้ำ เพราะวันจันทร์ – ศุกร์ เข้าเรียนวิชาแรกก็ 9 โมงเข้าไปแล้ว ทำให้ผมค่อนข้างมีเวลาเดินเล่นในมหาลัยพอสมควร ซึ่งห้องคอมพิวเตอร์ในตึกสาขาเดียวกับผม เป็นที่สิงสถิตย์ของผมกับหมู่เพื่อนๆ ในห้องเรียนเดียวกัน ซึ่งเพื่อนๆ ผมนั้น ชอบมานั่งเล่นเกมกันในเวลาเช้าๆ เพื่อรอเวลาเข้าเรียนวิชาแรก

รถเมล์มาถึงป้ายหน้ามหาลัยของผม ผมลงจากรถและเดินผ่านเข้ามหาลัยไป ผมมองทางข้างหน้าแล้วถึงกับท้อ เพราะตึกสาขาผมค่อนข้างใกลจากทางเข้าพอสมควร ซึ่งในเวลาปกตินั่น กระเป๋าผมจะมีแค่หนังสือ 2-3 เล่ม กับโน๊ตบุ๊กที่พกมาบางวันเท่านั้น แต่วันนี้เล่นแบกสัมภาระมาเพื่อไปเข้าค่าย ทำให้ผมรู้สึกเหนื่อยตั้งแต่ยังไม่ออกเดินทางเลยด้วยซ้ำ ผมเดินผ่านมหาลัยตอนเช้าๆ ไปเรื่อยๆ ผ่านกลุ่มนักศึกษาภาคเสาร์ อาทิตย์ ซึ่งผมก็คงไม่เคยเจอพวกเขาอยู่แล้วเพราะเรียนกันคนละวัน เมื่อเดินมาประมาณ 5 นาทีจึงถึงตึกของคณะที่ผมเรียนอยู่ เห็นรถบัส 4 คันจอดรออยู่หน้าตึกสาขาผม และเพื่อนๆ ในห้องผมกำลังนั่งคุยกันอยู่ ผมเดินเข้าไปหากลุ่มเพื่อนๆ ผมเพื่อทักทายตอนเช้า “เฮ้ย หวัดดี” กลุ่มเพื่อนผมที่นั่งเล่นกันอยู่ 6 คนหันมาทักทายตอบผม “หวัดดีตอนเช้าเว้ยแฮกเกอร์ มาๆ นั่งก่อน” คำเชิญชวนของเพื่อนผมที่จับกลุ่มเล่นเกมนกโกรธบน Tablet ทำให้ผมเดินไปนั่งด้วยอย่างเสียไม่ได้ ผมวางกระเป๋าลงข้างๆ ตัวและนั่งดู เพื่อนๆ เล่นกัน ซักพัก กลุ่มผู้หญิง 2 คนเดินผ่านมา เพื่อนผมคนนึงแซวผู้หญิงกลุ่มนั้น “ว่าไงสาวๆ วันนี้โดนน้ำมนต์หลวงพ่อ คงไม่ดิ้นนะ ฮ่าๆ” ผู้หญิงคนนึงเหมือนจะรู้ตัว หันควับมาด้วยสายตาอาฆาต “ชั้นไม่ใช่ผีนะ ไอบ้า” เพื่อนผมคงสนุกที่ได้ต่อล้อต่อเถียงกับผู้หญิง เลยเกิดสงครามน้ำลายกันอยู่พักใหญ่ ทำเอาผมถอนหายใจเลย