วัน(ก่อน)เข้าค่ายของเด็กคนนึง

ถึงวันเข้าค่ายธรรมมะประจำปีอีกแล้วสินะ ผมบ่นในใจ ซึ่งเด็กที่ไม่ค่อยเข้าวัดอย่างผมนี่ จะเห็นเป็นเรื่องน่าเบื่อก็คงไม่แปลกนัก แต่ดูเหมือนปีนี้นอกจากเข้าค่ายธรรมมะที่วัดต่างจังหวัดตามปกติแล้ว จะเป็นการทอดผ้าป่าประจำปีด้วย (ไปพร้อมกันว่างั้นเถอะ) ผมจึงคิดแล้วหลับคาโรงอาหารของมหาลัยไปตามประสาเด็กไม่ได้นอนเพราะชอบเล่นคอมจนดึกดื่น บนโต๊ะก็เต็มไปด้วยซองขนมห่อละ 5 บาท ที่กินแปปเดียวก็หมดซองซะแล้ว แต่อย่างน้อยๆ มันก็ช่วยรองท้องให้ไม่หิวจนกว่าจะกลับถึงบ้านตอนเย็นได้ละน่า

เสียงออดสัญญาณหมดพักดังขึ้น ผมตื่นมาในสภาพงัวเงีย จึงเดินไปล้างหน้าในอ่างล้างหน้าของห้องน้ำใกล้ๆ โรงอาหาร แล้วเดินขึ้นห้องเรียนไป ผมมองเห็นเพื่อนๆ ในห้องค่อนข้างไม่ค่อยมีใคร ผมถึงนึกขึ้นได้ว่า นี่ชั่วโมงอิสระนี่นา ไอเด็กเรียนทั้งหลายคงจะไปขลุกอยู่ที่ห้องสมุด ไม่ก็ไปเข้าชมรมกันหมดแล้วมั้ง ผมวางหนังสือลงข้างๆ โต๊ะผม แล้วหยิบมันขึ้นมาอ่านเล่นแก้เซง เพราะข้อสอบปลายภาค เห็นล่ำลือกันว่า โหดไม่ใช่เล่น “โย่ ว่าไงแฮกเกอร์” เสียงของเพื่อนที่เดินเข้ามาในห้องดังขึ้น ฉายาในห้องเพื่อนๆ เรียกผมว่า แฮกเกอร์ ก็คงไม่แปลก ที่ผมชอบแฮก Wireless โรงเรียนมาเล่นฟรี กับทำ netcut ห้องอื่นเพื่อให้ห้องตัวเองเล่นเน็ตไวๆ “เออ หวัดดีตอนบ่าย” “พรุ่งนี้ก็เข้าค่ายธรรมมะแล้วนะแฮกเกอร์ จะไปทั้งทีทำไมต้องไปวันเสาร์ด้วยก็ไม่รู้เนอะ” “นั่นสิ กรูอยากหยุดอยู่บ้านนั่งเล่นเฟสเฉยๆ จริงๆ” การสนทนาถึงเรื่องเข้าค่ายธรรมมะวันหยุดนี้ ทำให้ผมยิ่งอารมณ์เสียเข้าไปใหญ่ เพราะแทนที่เสาร์ อาทิตย์ จะได้หยุดอยู่กับบ้าน ดันต้องมาเข้าค่ายซะนี่ ผมเลยถอนหายใจพลางเปิดหนังสือหน้าต่อไป หนังสือวิชาโครงสร้างนี่ ถึงผมจะเก่งคอมแค่ใหน แต่บางเรื่องก็พาเอางงได้เหมือนกัน

เวลาผ่านไปเท่าใหร่ไม่รู้ เสียงออดดังขึ้น ผมมองนาฬิกา เป็นเวลาบ่าย 2 โมงตรง นั่นหมายถึงเวลาเลิกเรียนของผม ผมมองเข้าไปหลังห้อง เห็นเพื่อนๆ 5-6 คนกำลังเล่นเกมบน Notebook ที่ตัวเองพกมาอยู่โดยไม่สนใจเสียงออด ผมเลยแบกกระเป๋าตัวเอง แล้วเดินออกนอกห้องเพื่อกลับบ้านนอนซักที จะได้ไม่หลับคาวัดให้ขายหน้าเขาในวันพรุ่งนี้ หลังจากเดินออกมานอกมหาลัย หน้าป้ายรถเมล์เริ่มคนเยอะ เต็มไปด้วยนักศึกษาจากมหาลัยผมที่เลิกเรียนในเวลาเดียวกันมาคอยรถ เวลาบ่ายๆ แบบนี้รถเมล์ใน กทม รอไม่ค่อยนานเท่าใหร่ เมื่อสายที่ผมต้องการมาแล้ว จึงขึ้นไปนั่งหลับบนนั้นต่อ แต่ก็ไม่ได้หลับสนิทนัก ไม่งั้นคงได้นั่งรถเลยป้ายแน่ๆ ผมมองข้างทางไปเรื่อยๆ บรรยากาศในตัวเมืองกรุงนั้นค่อนข้างวุ่นวาย และรถติดนี่ ยิ่งทำให้ผมหัวเสียหนักขึ้นไปอีก ไม่รู้เพราะรถคันแรกหรือเปล่า ที่ปล่อยรถมาเต็มถนนแบบนี้ ค่านิยมคนสมัยนี้ก็นะ ทำไมต้องมีบ้านแล้วต้องมีรถกันด้วย ขนส่งสาธารณะก็มี ผมคิดไปพลางถอนหายใจไปด้วย หลังจากนั้น ผมจึงหยิบโทรศัพท์ของผมมาต่ออินเตอร์เน็ตเพื่อเชคอีเมล และเฟชบุ๊ก แต่ความเร็วอินเตอร์เน็ตที่โชว์ในหน้าจอนั้น ทำเอาผมหัวเสียหนักเข้าไปอีก ผมจึงกดล๊อก แล้วเก็บมันเข้าไปในกระเป๋าแบบเดิม

เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง รถเมล์จึงพาผมมาส่งที่ป้ายหน้าปากซอยบ้านผม เดินไม่กี่นาทีจึงเข้ามาถึงบ้าน ผมจึงล้มตัวนอนลงโดยที่ยังไม่ได้เปลี่ยนชุด ความง่วงพาผมหลับไปโดยง่ายดาย เนื่องจากค่อนข้างเหนื่อยกับการอ่านหนังสือสอบ กับการเรียนมาทั้งวันแล้ว (เอาเข้าจริงก็แบบนี้ทุกวันแหละ)

ใส่ความเห็น